ร้อยไหมยกกระชับ ปรับรูปหน้า ฟื้นฟูผิวให้ดูเด็ก

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหางตา และแก้ม บริเวณกรอบหน้าที่เคยหน้าเรียวเป็นแบบ V-Shape ก็เริ่มกลายเป็น U-Shape

ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังของเราเริ่มเสื่อมสลายไป และมีอัตราการสร้างใหม่ที่ช้าลงเรื่อยๆ ผิวหน้าจึงเริ่มบางลง กระดูกที่ช่วยโอบอุ้มผิวหน้าก็เริ่มอ่อนตัวลงจึงทำให้โครงหน้าของคุณเริ่มเปลี่ยนไป

นอกจากปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวแล้ว ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าก็เพิ่มมากขึ้น บางบริเวณก็เริ่มเป็นร่องลึก การใช้สกินแคร์เริ่มไม่เพียงพอต่อการบำรุงผิว

ดังนั้น “การทำ Thread Lift” จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ผิวหน้าของคุณกลับมาตึง กระชับ ไม่หย่อนคล้อย และยังช่วยให้ผิวหน้าของคุณกลับมาดูอ่อนเยาว์แบบสุขภาพดีได้อีกครั้งโดยไม่ต้องผ่าตัด

ร้อยไหม (Thread Lift) คืออะไร มีหลักการอย่างไร

การร้อยไหม (Thread Lift) คือเทคนิคในการกระชับผิวหน้าที่มีการใช้ไหมเย็บชั่วคราวเพื่อทำการ “ยกกระชับหน้า” เป็นการปรับรูปหน้าให้เรียวเป็น V-Shape ได้อีกครั้งโดยไม่ต้องผ่าตัด

โดยหลักการนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน นั่นคือ ขั้นตอนแรก แพทย์จะทำการร้อยไหมเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อทำการยกกระชับ หรือดึงผิวเพื่อให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง

ขั้นตอนต่อมานั้นจะเป็นกระบวนการที่เกิดใต้ผิวหนัง เมื่อเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนังแล้วจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นการตอบสนองของผิวให้เกิดกระบวนการรักษาด้วยการสร้างคอลลาเจนไปห่อหุ้มเส้นไหมที่ถูกร้อยอยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้ผิวกลับมาแน่น และกระชับขึ้น ใบหน้าจึงกลับมาเป็น V-Shape หมดปัญหาผิวหย่อนคล้อย

คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุน “Growth Factor” ที่มีผลอย่างมากต่อสภาพผิวของเรา โดยเฉพาะในการเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว คงความอ่อนนุ่มและความยืดหยุ่นของผิว ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะมีอัตราการผลิตคอลลาเจนลดลงไปเรื่อยๆ จึงทำให้ผิวเริ่มบางลงจนเริ่มไม่สามารถพยุงเนื้อเยื่อข้างใต้ผิวได้

เมื่อเจอกับแรงโน้มถ่วงของโลกก็ยิ่งจะทำให้ผิวหย่อนคล้อย ดังนั้น การทำหัตถการต่างๆ ที่ช่วยให้ผิวยังคงผลิตคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการรักษาด้วยวิธีนี้ก็จะช่วยให้ผิวยังคงความแข็งแรง ไม่หย่อนคล้อย และที่สำคัญ การกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนอยู่เสมอนั้นถือว่าเป็นการช่วยชะลอวัยของผิวอีกด้วย

เปรียบเทียบวัสดุการร้อยไหมประเภทต่างๆ: PDO, PLLA, PCL
เปรียบเทียบระยะเวลาการสลายตัว ความยืดหยุ่น ความสบายผิว และความปลอดภัยของไหม 3 ชนิด ได้แก่ PDO, PLLA และ PCL

ชนิดของไหมที่นำมาร้อยมีอะไรบ้าง แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร

ไหมที่นำมาใช้ในการรักษาที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้แบ่งออกตามชนิดของวัสดุ มีทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกัน ซึ่งความแตกต่างของของเส้นไหมแต่ละชนิดมีดังนี้

ชนิดไหมรายละเอียด
PDO (Polydioxanone):เป็นเส้นไหมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการนำมาใช้ในการร้อยไหม ไหม PDO นี้จะช่วยกระตุ้นผิวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใต้ผิวหนังได้ถึงชั้นหนังแท้ (dermis) ช่วยกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจน นอกจากจะช่วยยกกระชับผิวแล้ว PDO ยังช่วยทำให้รูขุมขน ริ้วรอยและหลุมสิวดูจางลง นอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว PDO ยังสามารถใช้กระชับผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณท้อง ก้น หลัง ต้นขาด้านใน และต้นแขน สามารถรักษาเซลลูไลต์ และรอยแตกของผิวได้อีกด้วย
PCL (Polycaprolactone):เป็นเส้นไหมที่มีความหนาและความยืดหยุ่นน้อยกว่าเส้นไหมแบบอื่นๆ แต่สามารถอยู่ในผิวได้นานกว่าไหมชนิดอื่นๆเช่นเดียวกัน จึงทำให้คอลลาเจนที่สร้างได้มีความแข็งแรงมากกว่าการใช้ไหม PDO หรือ PLLA จึงเป็นเหตุให้เหมาะกับการกระชับกราม ยกจมูก และเสริมเนื้อเยื่อที่บริเวณกลางใบหน้า
PLLA (Polylactic acid):เป็นเส้นไหมที่ถูกใช้นำมาเป็นทางเลือกใหม่แทนการใช้ฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ เนื่องจากไหมชนิดนี้สามารถทำหน้าที่เพิ่มความหนาแน่นของผิวได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย ดังนั้นหากใครไม่ต้องการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ นี่จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ และเมื่อ PLLA สลายไปจะกลายเป็น CO2 น้ำ และกรดแลคติคในร่างกาย

ลักษณะของเส้นไหม ในปัจจุบันนี้มีทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน คือ

  1.  ไหมแบบเรียบ (Mono threads) เป็นไหมที่มีความเรียบ ไม่มีเกลียวหรือหนาม นิยมนำมาใช้ร้อยแบบตาข่ายเพื่อให้ผิวกระชับขึ้น ปกติไหมชนิดนี้จะนำมาใช้ในการร้อยบริเวณคอ หน้าผาก และบริเวณใต้ตา
  2. ไหมแบบเกลียว (Screw threads) เป็นไหมที่มีลักษณะแบบเกลียว อาจจะเป็นแบบเกลียว 1 เส้น หรือ 2 เส้นที่พันเข้าด้วยกันเพื่อใช้ในการยกกระชับหน้า ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะทำให้ผิวมีความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น
  3. ไหมแบบก้างปลา (Cog threads) เงี่ยงของเส้นไหมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ  เกี่ยวกับด้านล่างของผิวหนัง รูปแบบของหนามถูกออกแบบมาให้รองรับกับโครงสร้างผิวที่หย่อยคล้อยเพื่อให้การยกกระชับได้ผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งเส้นไหมแบบนี้เหมาะกับการยกกระชับบริเวณกรามและเพื่อกระชับสัดส่วน
ภาพแสดงเส้นไหม 3 ชนิดที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการร้อยไหม: ไหมแบบเรียบ แบบเกลียว และแบบก้างปลา
เส้นไหม 3 แบบที่นิยมใช้กันทั่วไป: ไหมแบบเรียบ ไหมแบบเกลียว และไหมแบบก้างปลา

ใครบ้างที่ควรทำ Thread Lift

  1. ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
  2. ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า
  3. ผู้ที่ต้องการยกกระชับ ปรับรูปหน้าให้เป็น V-shape
  4. ผู้ที่มีปัญหาหางตาตก
  5. ผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อนคล้อย หรือแก้มพอง
  6. ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนยานบริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก

Thread Lift สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง

  1. หน้าผาก
  2. คิ้วและระหว่างคิ้ว
  3. แก้มและร่องแก้ม
  4. ปาก มุมปากและรอบปาก
  5. กราม
  6. เหนียงและคอ
  7. หน้าท้อง
  8. ลำตัว
  9. ต้นขาและสะโพก
ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สามารถทำการร้อยไหมได้
ตำแหน่งที่สามารถทำ Thread Lift ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่บริเวณใบหน้าไปจนถึงบริเวณลำตัว

หลังจากการรักษาต้องพักฟื้นหรือไม่ แล้วจะเห็นผลในกี่วัน

หลังจากการรักษาอาจเกิดอาการบวมได้ ผลลัพธ์จะสามารถเห็นได้หลังจากทำประมาณ 7 วัน โดยจะเห็นว่าใบหน้าหรือบริเวณที่ทำมีการยกกระชับขึ้น ส่วนเรื่องผิวแน่นอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนเพื่อรอให้คอลลาเจนใต้ผิวสร้างขึ้นมาเกาะเส้นไหม

การดูแลตัวเองหลังการรักษา

การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นการทำหัตถการที่ไม่ใช้การผ่าตัด จึงไม่จำเป็นต้องพักฟื้น แต่หลังจากการรักษาเสร็จอาจเกิดอาการปวด บวม หรือตึงที่หน้าได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะสามารถหายได้เอง โดยจะใช้เวลาประมาณ  2-5 วัน ตามแต่ละบุคคล

การนอนหมอนสูงจะช่วยลดอาการบวมได้ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการรักษาคือ การดื่มแอลกอฮอล์ การทำทรีทเมนต์หน้า การทาครีมที่มีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เลเซอร์ อบซาวน่า โดยให้งดทำสิ่งเหล่านี้ประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ผลลัพธ์ของการรักษาอยู่ได้นานขึ้น

แต่หากเกิดอาการผิดปกติที่อื่นๆ เช่น ผิวไม่เรียบ เป็นจุด เกิดอาการคัน หรือรู้สึกผิดปกติจากการรักษา ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเอง

ภาพแสดงแนวทางการดูแลตนเองหลังการร้อยไหม
คำแนะนำที่สำคัญช่วยฟื้นตัว หลังจากการทำ Thread Lift

ขั้นตอนการรับบริการร้อยไหมกับ KKC Clinic

  1. รับคำปรึกษา: เข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาและวินิจฉัยเรื่องการรักษา โดยจะพิจารณาจากโครงหน้าของผู้เข้ารับบริการเพื่อเลือกชนิดและจำนวนไหมให้เหมาะสมกับบริเวณที่จะทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  2. ออกแบบการรักษา: หลังจากเข้ารับการประเมินแล้วพบว่าสามารถเข้ารับบริการได้ แพทย์จะทำการออกแบบการรักษา และอธิบายถึงผลลัพธ์ที่จะเกิด พร้อมอธิบายรายละเอียดขั้นตอนของการรักษา
  3. จัดตารางนัด: ทำการนัดวันและเวลาเพื่อทำการรักษา
  4. การเตรียมตัว: หลังจากทำนัดแล้ว ผู้เข้ารับบริการจะต้องเตรียมตัวรักษาโดย มีบางอย่างที่คุณต้องทำ ซึ่งรวมถึงการงดยาและอาหารเสริมที่อาจทำให้เลือดไหลไม่หยุด หรือเกล็ดเลือดแข็งตัวช้า เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี แอสไพริน ไอบูโพรเฟน เพื่อป้องกันการเลือดออกหรือช้ำทำการล้างหน้าให้สะอาด โดยไม่ต้องแต่งหน้าเพื่อความแม่นยำในการรักษา ตลอดจนก่อนวันนัด พักผ่อนให้เพียงพอประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้พักอย่างเต็มที่ 
  5. ขั้นตอนรักษา: เมื่อเข้ารับบริการ ทีมแพทย์จะเริ่มทำความสะอาดผิว จากนั้นจะทายาชาไปที่บริเวณที่จะทำการรักษา เมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะใช้เข็มสอดไหมเข้าไปใต้ผิวหนัง ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ขึ้นกับบริเวณที่ทำ ซึ่งระหว่างที่ทำ ผู้ได้รับบริการอาจจะรู้สึกถึงแรงยกแรงกดจากการรักษาเล็กน้อย หลังการรักษาเสร็จแล้ว สามารถกลับบ้านได้เลยโดยไม่ต้องพักฟื้น

ทำไมต้องทำร้อยไหมที่ KKC Clinic

การจะเลือกรับบริการการรักษาเพื่อยกกระชับนั้น ทุกท่านควรพิจารณาเรื่องความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยเป็นหลัก รวมถึงคุณภาพและชนิดของเส้นไหมที่ใช้ เพราะไหมบางชนิดนั้นอาจจะสลายตัวได้ง่าย ไม่ได้คุณภาพ

ไหมบางชนิดก็อาจจะถูกเคลือบสารบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อผิว เช่น เรื่องการทนความร้อน มีปัญหาเมื่อต้องเข้าเครื่องตรวจจับโลหะหรือมีปัญหาในการทำ MRI Scan

แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่ KKC Clinic เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาเพื่อปรับรูปหน้า เส้นไหมที่ใช้นั้นเป็นไหมที่มีคุณภาพสูง สามารถสลายได้โดยไม่เป็นอันตรายกับผู้ได้รับบริการ

ผู้ที่สนใจต้องการใช้บริการสามารถปรึกษาหรือสอบถามได้ โดยเรามีแพทย์ที่พร้อมช่วยตอบทุกปัญหาทุกข้อสงสัย มั่นใจได้ในเรื่องความน่าเชื่อถือเพราะ KKC Clinic เราได้เปิดให้บริการมานานกว่า 17 ปี มีการให้บริการมากกว่า 15 สาขา ทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ

ที่สำคัญ KKC Clinic นั้นมีการนำนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการรับรองว่าผ่านมาตรฐานความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าเสมอ อีกทั้งยังมีการบริการระดับมาตรฐานสากลจึงทำให้มั่นใจได้ว่าทุกท่านที่ได้เข้ามารับบริการจะได้รับผลลัพธ์ที่ตรงใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย

สรุปการทำร้อยไหม

ร้อยไหม (Thread Lift) คือเทคนิคการนำไหมมาร้อยลงใต้ผิวหนังเพื่อให้ผิวกลับมาตึงกระชับ ช่วยลดเลือนริ้วรอย และยังสามารถปรับรูปหน้าให้กลับมาเป็น V-shape ได้ โดยมีหลักการคือ แพทย์ผู้ให้บริการจะใช้ไหมร้อยลงเข็ม โดยแพทย์แต่ละท่านจะเลือกใช้เทคนิคในการร้อยไหมลงบนเข็มที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบริเวณและปัญหาของผิว

เมื่อเส้นไหมถูกร้อยเข้าไปใต้ผิวแล้ว เส้นไหมจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผิวเกิดกระบวนการการรักษาด้วยการทำให้ผิวผลิตคอลลาเจนมาเกาะที่เส้นไหม ผลลัพธ์ที่ได้จึงทำให้ผิวกระชับขึ้น และแน่นขึ้น ส่วนโครงหน้า หรือบริเวณอื่นๆ ที่ได้รับการรักษาก็จะตึงและกระชับขึ้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการดึงรั้งของเส้นไหมนั่นเอง

ในปัจจุบันเส้นไหมที่ใช้ในการรักษาจะเป็นไหมละลายทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยและไม่กระทบกับการใช้ชีวิตของผู้ได้รับบริการ โดยเส้นไหมที่ใช้นั้นหากแบ่งตามวัสดุจะมีทั้งหมด 3 ชนิดที่ได้รับความนิยมในขณะนี้ ได้แก่ PDO, PCL และ PLLA

เส้นไหมทั้ง 3 ชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป และเหมาะที่จะใช้ในบริเวณที่แตกต่างกัน หรือหากแบ่งตามลักษณะของเส้นไหมก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทเช่นกัน ได้แก่ เส้นไหมแบบเรียบ (mono thread) เส้นไหมแบบเกลียว (screw thread) และเส้นไหมแบบก้างปลา (Cog thread)

คุณลักษณะเหล่านี้ล้วนมีผลมีผลต่อการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในแต่ละบริเวณ ดังนั้น การเลือกทำกับแพทย์ผู้ชำนาญการและมากประสบการณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกสถานที่จะเข้ารับบริการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เข้ากับรูปหน้าของคุณที่สุด

ภาพทีมงานมืออาชีพของ KKC Clinic เน้นความเชี่ยวชาญในขั้นตอนการร้อยไหม

Q&A ตอบข้อสงสัยเรื่องร้อยไหม โดย KKC Clinic

อยากทำ Sexy eyes ให้ตาเฉี่ยวสามารถ Thread Lift ได้มั้ย

สามารถทำ Sexy eyes ด้วยการรักษาวิธี Thread Lift โดยการใช้ไหมก้างปลา (Cog thread) ในการทำ ไหมก้างปลาจะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวบริเวณนั้นแน่นและยกกระชับขึ้น ซึ่งข้อดีของการรักษาวิธีนี้จะช่วยให้แก้ปัญหาหนังตาตก ลดเลือนริ้วรอยที่หางตา และทำให้ดวงตาเฉี่ยวคมมากยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งผลลัพธ์หลังจากการทำสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังจากการรักษาด้วย

Thread Lift สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน

ผลลัพธ์ของการรักษานั้นขึ้นอยู่กับชนิดของไหม โดยปกติทั่วไปผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังจากการรักษาด้วย หากมีการแสดงสีหน้ามากเกินไป หรือมีการขยับกล้ามเนื้อบ่อยๆ เช่น การนวดหน้ากดจด การเล่นโยคะ ก็จะทำให้ไหมที่ร้อยไว้สลายได้เร็วขึ้น

ควรทำบ่อยแค่ไหน

การทำ Thread Lift ควรทำประมาณ 6 เดือน – 2 ปีต่อครั้ง ทั้งนี้ความถี่ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว กิจกรรมที่ทำและการประเมินของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและคุ้มค่าที่สุด

Thread Lift กับฉีดโบท็อก แบบไหนดีกว่ากัน

การทำ Thread Lift เป็นการยกกระชับผิวหน้า และกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ผิวแน่นขึ้นพร้อมลดเลือนริ้วรอยให้จางลง ส่วนการฉีดโบท็อกนั้นเป็นการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวลงจึงช่วยปรับรูปหน้าและลดเลือนริ้วรอยให้จางลง ด้วยหลักการของ Thread Lift และการฉีดโบท็อกที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรเลือกวิธีที่เหมาะกับปัญหาของตนเองมากที่สุด หรือหากรูปหน้า หรือผิวมีปัญหามากก็สามารถทำทั้งสองแบบควบคู่ไปด้วยกันได้ หากสนใจสามารถวางแผนการทำกับทาง KKC Clinic ได้เลย

ค่าใช้จ่ายในการรักษาแพงไหม

ค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและบริเวณที่จะทำการรักษา หากสนใจก็สามารถอบถามโปรโมชั่นดีๆจาก KKC Clinic ได้เลย เรายินดีตอบคำถามของทุกท่าน

อ้างอิง: