การร้อยไหมเพื่อยกกระชับและปรับให้หน้าเรียว

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เราก็มักจะพบกับปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยและริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ที่ทำให้ทั้งหน้าโทรมและหน้าแก่ก่อนวัย ทั้งนี้ ในปัจจุบันก็มีวิธีการยกกระชับใบหน้ามากมาย แม้ว่าจะไม่ต้องใช้การผ่าตัด อย่างการร้อยไหม ที่นอกจากจะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำแล้ว ยังใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน สำหรับผู้ที่สงสัยว่า “การร้อยไหมได้ผลจริงไหม ช่วยให้หน้าเรียวจริงไหม?” หรือ “การร้อยไหมจะช่วยเรื่องอะไรบ้าง?” รวมถึง “ร้อยไหมหน้าเรียวอยู่ได้นานไหม หรืออยู่ได้กี่ปี?” ก็สามารถมาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้ค่ะ
ผลลัพธ์ที่ได้อาจขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
การร้อยไหมคืออะไร แล้วมีหลักการทำงานยังไง?
การร้อยไหม (Thread Lift) คือวิธีหนึ่งในการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยมีหลักการทำงานคือ การใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยง สอดลงไปใต้ผิวหนังลงไปถึงชั้น SMAS จากนั้นเมื่อแพทย์ทำการดึงไหม เงี่ยงไหมที่เกาะอยู่กับผิวก็จะไปเกี่ยวและดึงให้ผิวยกขึ้น ตามทิศทางของไหมที่ร้อยลงไป ซึ่งจะเป็นทิศทางที่แพทย์ได้ออกแบบไว้ โดยการร้อยไหมสามารถทำได้ทั้งที่ใบหน้าและลำตัว ทั้งนี้ เข็มและไหมที่ใช้ในการร้อยไหมก็จะมีหลากหลายประเภท
ประโยชน์ของการร้อยไหมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ข้อหลัก ๆ ข้อแรกคือการร้อยไหมจะช่วยให้ใบหน้ายกกระชับ แก้ปัญหาใบหน้าตกหรือใบหน้าหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงปรับให้รูปหน้ามีความเรียวขึ้น และทำให้กรอบหน้าคมชัดมากขึ้น ข้อที่ 2 คือ การร้อยไหมจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยคุณสมบัติของเส้นไหมที่เราใช้ร้อยเข้าไป ดังนั้น การร้อยไหมจึงจะช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง อิ่มฟู เรียบเนียน ยืดหยุ่น อีกทั้งยังช่วยให้ริ้วรอยลดเลือนลง ร่องลึกดูตื้นมากขึ้น และรูขุมขนเล็กลง ดังนั้น การร้อยไหมจึงช่วยให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์หรือดูเด็กลงนั่นเอง
เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของการร้อยไหมกับการผ่าตัดดึงหน้า
แม้ว่าการร้อยไหมและการผ่าตัดดึงหน้าจะช่วยในการยกกระชับใบหน้าเหมือนกัน แต่การร้อยไหมและการผ่าตัดดึงหน้าก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อความเหมาะสมในการเลือกทำหัตถการของคนไข้แต่ละคน ดังนี้
- ผลลัพธ์: การร้อยไหมจะให้ผลลัพธ์ในเรื่องของใบหน้าที่ยกกระชับได้น้อยกว่าการผ่าตัดดึงหน้า ซึ่งเป็นการตัดหนังที่หย่อนคล้อยบนใบหน้าออกแล้วเย็บผิวหนังส่วนที่เหลือให้ติดกัน จึงสามารถดึงหน้าได้ค่อนข้างมาก ดังนั้น หากเป็นผู้ที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ ต้องการให้ใบหน้าตึงมาก ๆ ก็จะเหมาะกับวิธีการผ่าตัดดึงหน้ามากกว่าการร้อยไหม
- ระยะเวลาของผลลัพธ์: ผลลัพธ์ของการร้อยไหมจะคงอยู่ได้เป็นเวลาประมาณ 12 – 18 เดือน ในขณะที่ผลลัพธ์ของการผ่าตัดดึงหน้าจะคงอยู่ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 5 – 10 ปี เพราะการร้อยไหมจะใช้ไหมละลาย ซึ่งจะสลายหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป แต่ข้อดีของการที่ผลลัพธ์ไม่คงอยู่นานคือ หากไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้ หรือมีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น ก็จะยังสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลังโดยการเอาไหมออก หรือรอให้ไหมละลายหายไปเอง
- ระยะเวลาในการทำหัตถการ: การร้อยไหมจะใช้ระยะเวลาในการทำหัตถการน้อยกว่าการผ่าตัดดึงหน้า รวมทั้งหมดตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัว
- ระยะเวลาในการพักฟื้น: การร้อยไหมจะใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นที่สั้นกว่าการผ่าตัดดึงหน้า โดยแทบจะไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น หรือในคนไข้บางคนอาจจะไม่ต้องพักฟื้นเลย เพียงรอให้อาการบวมที่อาจเกิดขึ้นยุบลงเท่านั้น แต่การผ่าตัดดึงหน้าอาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1 – 3 เดือน ดังนั้น ผู้ที่ต้องการใช้หรือโชว์ใบหน้าในระยะเวลาอันรวดเร็วภายหลังทำหัตถการ เช่น ไปออกงานสังคมต่าง ๆ ก็จะเหมาะกับวิธีการร้อยไหมมากกว่า
- ความปลอดภัย: การร้อยไหมจะเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยมากกว่า รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายน้อยกว่าการผ่าตัดดึงหน้า เพราะการร้อยไหมจะใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้าต้องใช้การดมยาสลบ ดังนั้น ผู้ที่มีโรคประจำตัวเยอะหรือมียาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ก็จะเหมาะกับวิธีการร้อยไหมมากกว่า ทั้งนี้ การผ่าตัดดึงหน้ายังต้องใช้การดูแลแผลที่มากกว่าการร้อยไหม และหากคนไข้ดูแลแผลได้ไม่ดีพอ ก็จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
- รอยแผลเป็น: การร้อยไหมจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นบนใบหน้า ในขณะที่การผ่าตัดดึงหน้ามีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดรอยแผลเป็น
- การดูแลตัวเอง: การร้อยไหมมีวิธีการและขั้นตอนการดูแลตัวเอง ทั้งก่อนและหลังทำน้อยกว่าการผ่าตัดดึงหน้า รวมถึงมีความยุ่งยากน้อยกว่า
- ค่าใช้จ่าย: การร้อยไหมมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการผ่าตัดดึงหน้า
ประเภทของการร้อยไหม
การร้อยไหมสามารถทำได้กับหลายบริเวณของร่างกาย เพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป ดังตัวอย่างเช่น
- ร้อยไหมหน้าผาก ช่วยลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากหย่อนคล้อย ช่วยให้หน้าผากเรียบตึงและโหนกนูน
- ร้อยไหมหางตา ช่วยยกหางตาและหางคิ้ว แก้ปัญหาตาตก หนังตาตก หางตาตก และหางคิ้วตก รวมถึงเพิ่มความเฉี่ยวคมให้ดวงตา
- ร้อยไหมร่องแก้ม ช่วยยกกระชับผิวบริเวณหน้าแก้มที่หย่อนคล้อยจนเกิดเป็นรอยพับที่ร่องแก้ม แก้ปัญหาร่องแก้มและกระเปาะแก้มหย่อนคล้อย
- ร้อยไหมมุมปาก ช่วยยกกระเปาะไขมันช่วงมุมปากให้กระชับขึ้น มุมปากจึงยกขึ้น แก้ปัญหามุมปากตกและร่องน้ำหมาก
- ร้อยไหมเหนียง ช่วยดึงบริเวณเหนียงหรือไขมันใต้คอที่หย่อนคล้อยเป็นชั้นให้ตึงกระชับมากขึ้น ทำให้เห็นคางและกรอบหน้าชัดขึ้น
- ร้อยไหมจมูก เป็นการร้อยไหมเพื่อเสริมจมูก ช่วยปรับสันจมูกให้ดูโด่งขึ้นและสวยขึ้น รวมถึงลดขนาดปีกจมูก
ใครบ้างที่ควรเข้ารับการร้อยไหม?
การร้อยไหมเหมาะสำหรับกลุ่มคนดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับและปรับรูปหน้า มีปัญหาใบหน้าไม่มีมิติ ไม่ได้สัดส่วน รวมถึงใบหน้าตกหรือใบหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในเรื่องของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินร่วมกับการยกกระชับ
- ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้ายกกระชับทันที หรือต้องการโชว์ใบหน้าอย่างรวดเร็วภายหลังจากการทำหัตถการ
- ผู้ที่ใช้เครื่องยกกระชับแล้วยังยกใบหน้าได้ไม่มากพอ หรือไม่เหมาะกับการทำเครื่องยกกระชับ
- ผู้ที่ไม่พร้อมผ่าตัดดึงหน้า ไม่ต้องการเจ็บตัว และไม่อยากใช้เวลาพักฟื้นนาน ๆ หรือไม่เหมาะกับการผ่าตัดดึงหน้า
- ผู้ที่มีอายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยผิวจะต้องไม่ยุบตัวและไม่หย่อนคล้อยมากจนเกินไป
- ผู้ที่มีปัญหาตาตก หนังตาตก หางตาตก หางคิ้วตก รวมถึงต้องการมีดวงตาที่เฉี่ยวคม แบบ Foxy Eyes หรือมีหางตายกขึ้นแบบสายฝอ
- ผู้ที่มีแก้มห้อยหรือแก้มหย่อนคล้อย เพราะการร้อยไหมสามารถดึงบริเวณแก้มส่วนล่างและจุดยึดที่อยู่บริเวณขมับเข้าหากัน จึงสามารถดึงแก้มที่หย่อนขึ้นได้ทันที
- ผู้ที่ต้องการเสริมจมูกแต่ไม่ต้องการผ่าตัดทำศัลยกรรม
ทั้งนี้ การร้อยไหมจะไม่สามารถทำได้ในคนบางกลุ่ม เช่น หญิงที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์, ผู้ที่ผิวหนังกำลังอักเสบหรือติดเชื้อในบริเวณที่จะร้อยไหม, ผู้ที่แพ้ยาชา หรือผู้ที่แพ้ไหม
ขั้นตอนและผลลัพธ์ที่ได้จากการร้อยไหม
ภายหลังการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์และแพทย์ได้ออกแบบทิศทางที่จะทำการร้อยไหมเข้าไปแล้ว แพทย์ก็จะทำการฉีดยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความเจ็บปวดในขณะร้อยไหม จากนั้นจึงใช้เข็มแทงเพื่อสอดไหมเข้าไปใต้ผิวทีละเส้น เมื่อสอดไหมเข้าไปจนครบทุกเส้นแล้ว แพทย์ก็จะทำการกดให้ไหมยึดเกาะอยู่กับเนื้อเยื่อ แล้วจึงดึงไหมเพื่อยกใบหน้าขึ้น ทั้งนี้ จำนวนและชนิดของเส้นไหมที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไขของคนไข้แต่ละบุคคล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์
หากรวมระยะเวลาที่รอยาชาออกฤทธิ์ การร้อยไหมจะใช้เวลาประมาณ 60 – 120 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่จะร้อยไหมและจำนวนของเส้นไหม รวมถึงเทคนิควิธีที่ใช้ในการร้อยไหมของแพทย์ผู้ทำการรักษา ซึ่งภายหลังจากที่ร้อยไหมแล้ว คนไข้จะสามารถกลับบ้านได้ในวันนั้นเลย และแทบจะไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น หรือคนไข้บางคนอาจจะไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นเลย ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการร้อยไหมในเรื่องของใบหน้าที่ยกกระชับมากขึ้น จะสามารถเห็นได้ทันที แต่จะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนเต็มที่ภายในระยะเวลา 1 – 2 เดือน และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 12 – 18 เดือน
วิธีการดูแลตัวเองภายหลังการร้อยไหม
ภายหลังจากที่เข้ารับการร้อยไหมแล้ว คนไข้ควรปฏิบัติตนตามวิธีการดูแลตัวเอง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส กด หรือนวดในบริเวณที่ร้อยไหม
- หลีกเลี่ยงการขยับใบหน้าแรง ๆ หรือแสดงสีหน้าที่ชัดเจนในช่วง 3 วันแรกภายหลังจากการร้อยไหม เพราะอาจทำให้ไหมขาดหรือไหมเคลื่อนได้
- งดการรับประทานอาหารตามที่กล่าวมานี้ ภายหลังจากการร้อยไหมอย่างน้อย 14 วัน
- หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู จิ้มจุ่ม หรืออาหารที่ต้องอยู่หน้าเตาร้อน ๆ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นรสเค็มจัด หวานจัด หรือเผ็ดจัด
- อาหารหมักดอง ฝรั่งดอง ผักกาดดอง ปลาร้า
- อาหารดิบหรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น กุ้งแช่น้ำปลา ซอยจุ๊ หอยแครงลวก
- ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาแก้อักเสบบางชนิด
- วิตามินหรืออาหารเสริมบางประเภท เช่น วิตามินอี กิงโกะ น้ำมันพริมโรส กระเทียม โสม
- งดการทำกิจกรรมตามที่กล่าวมานี้ ภายหลังจากการร้อยไหมอย่างน้อย 14 วัน
- การสูบบุหรี่
- การทำกิจกรรมที่จะเพิ่มการสูบฉีดของเลือด เช่น การอบซาวน่า การออกกำลังกายอย่างหนัก การเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมหรือกีฬาผาดโผน
- การทำทรีตเมนท์หน้าหรือการทาครีมที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว
- งดการทำหัตถการบางอย่างภายหลังจากการร้อยไหมอย่างน้อย 1 – 2 เดือน เช่น การนวดหน้าแรง ๆ หรือการยิงเลเซอร์
- รับประทานยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ยาลดบวม หรือยาอื่น ๆ ที่ได้รับตามคำแนะนำของแพทย์
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและกลับไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น
การร้อยไหมสามารถอยู่ได้นานไหม?
ผลลัพธ์ของการร้อยไหมจะคงอยู่ได้ประมาณ 12 – 18 เดือน หรือประมาณ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้และการดูแลตัวเองของคนไข้ภายหลังจากที่ร้อยไหมไปแล้ว ทั้งนี้ การร้อยไหมจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน ทำให้แม้ว่าไหมจะละลายไปหมดแล้ว ผิวหนังก็ยังคงถูกประคองหรือพยุงให้ยกไว้ได้ แต่หากต้องการคงผลลัพธ์ของการรักษา ก็สามารถมาร้อยไหมซ้ำได้เมื่อเวลาผ่านไปอย่างน้อย 6 เดือน และควรร้อยไหมซ้ำใหม่เรื่อย ๆ
หากแบ่งตามวัสดุที่ใช้ในการทำเส้นไหม ชนิดของไหมที่ใช้ร้อยหน้าจะแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้
- ไหม PDO (Polydioxanone) คือไหมละลายชนิดหนึ่ง ลักษณะเส้นไหมเป็นสีน้ำเงิน มีความยืดหยุ่นมาก อ่อนนิ่ม ไม่เปราะหักง่าย ร้อยเข้าไปแล้วไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง มีโอกาสในการแพ้น้อย โดยไหม PDO จะละลายหมดภายในระยะเวลา 4 – 6 เดือน ซึ่งไหม PDO เป็นไหมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และเป็นไหมที่ KKC Clinic เลือกใช้ และยังมีไหมอีกชนิดหนึ่งที่มีการยึดเกราะที่ดีเช่นเดียวกันและคุณหมอเลือกใช้ในหัตถการร้อยไหม อย่าง ไหมมิ้นท์ (Mint Thread) โดยไหมมิ้นทำจากวัสดุ PDO เช่นเดียวกันและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติในร่างกาย 6–8 เดือน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้เป็นระยะเวลานาน ทำให้ผิวกระชับและเรียบเนียนมากขึ้นด้วย
- ไหม PLLA (Polylactate) คือไหมละลายชนิดหนึ่ง ลักษณะเส้นไหมเป็นสีขาวใส เส้นเล็ก มีความแข็งแรง ทนต่อแรงดึงได้ดีที่สุด แต่ไม่มีความยืดหยุ่น เปราะและหักง่าย ร้อยไหมเข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดปัญหาไหมขาดหรือไหมทะลุ แต่เป็นไหมที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากที่สุด บางครั้งจึงใช้เติมเต็มแทนฟิลเลอร์ โดยไหม PLLA จะละลายหมดภายในระยะเวลา 12 – 18 เดือน
- ไหม PCL (Polycaprolactone) คือไหมละลายชนิดหนึ่ง ลักษณะเส้นไหมเป็นสีขาวขุ่น เส้นใหญ่ที่สุด มีความยืดหยุ่นมากที่สุด จึงสามารถบิดหรืองอได้โดยไม่หัก อีกทั้งยังมีความแข็งแรงทนทาน โดยไหม PCL จะละลายหมดภายในระยะเวลา 18 – 24 เดือน ทั้งนี้ ไหม PCL อาจถูกใช้ในรูปแบบการฉีดหรือที่เรียกว่าไหมน้ำ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้ผิวยกกระชับ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นของการร้อยไหม
สำหรับผู้ที่สงสัยว่า “การร้อยไหมมีผลข้างเคียงไหม?” ก็ต้องบอกว่าการร้อยไหมอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่สามารถพบได้เป็นปกติ และผลข้างเคียงที่สามารถเป็นอันตราย ดังนี้
ผลข้างเคียงที่สามารถพบได้เป็นปกติ
- รู้สึกตึงหรือระบมบริเวณที่ร้อยไหมเข้าไปในช่วงแรก
- มีอาการบวมหรือรอยเขียวช้ำ โดยจะดีขึ้นภายในระยะเวลา 3 – 4 วัน และจะหายได้เองภายในระยะเวลา 7 – 14 วัน
- มีเลือดออกในบริเวณที่แทงเข็มเข้าไป
- เกิดเป็นริ้วไหมหรือรอยรั้งไหม คือบริเวณที่ร้อยไหมเกิดเป็นรอยบุ๋มยุบลงไป หรือเกิดเป็นรอยคลื่นเป็นชั้น ๆ ซึ่งรอยเหล่านี้จะค่อย ๆ เป็นปกติได้เองในระยะเวลาประมาณ 4 สัปดาห์
- ร้อยไหมแล้วไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง อาจเกิดจากชนิดของไหมที่ใช้ร้อยใบหน้าไม่เหมาะสมกับปัญหาที่มี ไหมที่ใช้ไม่มีคุณภาพ หรือแพทย์ผู้ทำการร้อยไหมไม่มีความชำนาญ จึงใช้จำนวนเส้นไหมไม่เพียงพอ หรือประเมินแนวทางการรักษาไม่เหมาะสม
- ร้อยไหมแล้วใบหน้าไม่ยกหรือหย่อนคล้อยลงมาไว อาจเกิดจากการขยับใบหน้าแรง ๆ การอ้าปากกว้าง ๆ การเลิกคิ้วสูง ๆ ในช่วงเวลา 1 เดือนแรกภายหลังจากการร้อยไหม ซึ่งเป็นช่วงที่ไหมยังไม่ผสานและกลืนเข้ากับผิวอย่างเต็มที่ ไหมจึงเคลื่อนตัวลงมา
ผลข้างเคียงที่สามารถเป็นอันตราย
- เกิดเป็นริ้วไหมหรือรอยรั้งไหมที่เห็นได้ชัด คือ บริเวณที่ร้อยไหมเกิดเป็นรอยบุ๋มและเห็นไหมเป็นเส้นขึ้นมาอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเกิดจากการร้อยไหมตื้นเกินไป หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดแผลเป็นบนผิวได้
- ไหมขาด คือเส้นไหมที่ร้อยเข้าไปขาดออกจากกัน จะรู้สึกว่าไหมดีดหน้า อาจมีอาการเจ็บหรืออาจถึงขั้นรู้สึกร้าวในบริเวณที่ร้อยไหมเข้าไป รวมถึงอาจเกิดเป็นรอยช้ำสีม่วง ๆ ได้
- ไหมเคลื่อน คือเส้นไหมที่ร้อยเข้าไปเคลื่อนตัว จะเห็นได้จากผิวที่หย่อนคล้อยลงมาเล็กน้อย รวมถึงอาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือมีรอยเขียวช้ำบริเวณนั้นได้
- ไหมทะลุ คือเส้นไหมที่ร้อยเข้าไปทะลุผิวออกมาในอีกทางหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทางที่ร้อยไหมเข้าไป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
- ไหมโผล่ คือเส้นไหมที่ร้อยเข้าไปทะลุผิวออกมาในทางเดียวกับที่สอดไหมเข้าไป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
ค่าใช้จ่ายในการร้อยไหม
การร้อยไหมเพื่อยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวที่ KKC Clinic มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 9,900 บาท โดยค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น บริเวณที่ต้องทำการร้อยไหม ชนิดของเส้นไหม และจำนวนของเส้นไหมที่ใช้ ทั้งนี้ คนไข้จะสามารถทราบถึงจำนวนค่าใช้จ่ายที่แน่นอนได้เมื่อเข้ารับการประเมินจากแพทย์
การร้อยไหมร่วมกับการทำหัตถการอื่น ๆ
สำหรับคนไข้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยหรือยุบตัวมาก ๆ การร้อยไหมเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด ดังนั้น คนไข้อาจจะต้องทำหัตถการอื่นร่วมด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ร้อยไหมร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) หรือร้อยไหมร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ทั้งนี้ แนะนำให้คนไข้เข้ารับการวิเคราะห์และประเมินใบหน้ากับแพทย์ก่อน เพื่อให้แพทย์สามารถแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
คำถามที่พบบ่อย
การร้อยไหมจะทำให้รู้สึกเจ็บมากไหม?
การร้อยไหมไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บมาก เพราะจะมีการฉีดยาชาเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดก่อนทำการร้อยไหม ซึ่งคนไข้อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในขั้นตอนนี้ ทั้งนี้ คนไข้ยังจะสามารถสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนตัวของเส้นไหมในขณะที่แพทย์ทำการร้อยไหมเข้าไป
การร้อยไหมใช้เวลานานไหม?
การร้อยไหมที่ KKC Clinic จะใช้เวลาประมาณ 60 – 120 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนของบริเวณที่ต้องการร้อยไหม จำนวนของเส้นไหม และเทคนิคที่ใช้ในการร้อยไหมของแพทย์ โดยเป็นระยะเวลาที่รวมยาชาออกฤทธิ์แล้ว แต่หากใช้การประคบเย็นก็จะใช้ระยะเวลาที่น้อยกว่าที่กล่าวมา
ภายหลังการร้อยไหมจะหน้าบวมกี่วัน?
ภายหลังจากการร้อยไหม คนไข้อาจมีอาการบวมหรือรอยเขียวช้ำ ซึ่งจะดีขึ้นใน 3 – 4 วัน และจะหายได้เองภายใน 1 – 2 อาทิตย์
การร้อยไหมสามารถทำได้บ่อยแค่ไหน?
เพื่อคงผลลัพธ์ของการรักษา คนไข้สามารถมาร้อยไหมซ้ำได้เรื่อย ๆ แต่ต้องเว้นระยะอย่างน้อย 6 เดือน หรืออาจจะมาร้อยไหมในทุก ๆ 6 – 24 เดือนก็ได้เช่นกัน
การร้อยไหมมีผลเสียไหม?
ผลเสียของการร้อยไหมมักเกิดจากการร้อยไหมกับแพทย์ที่ขาดความชำนาญ หรือแนะนำแนวทางการรักษาได้ไม่เหมาะสม ทำให้ร้อยไหมแล้วหน้าไม่เท่ากัน ร้อยไหมแล้วหน้าบาน หรือร้อยไหมแล้วดูโหนกแก้มใหญ่
การร้อยไหมอันตรายไหม?
การร้อยไหมไม่ใช่หัตถการที่มีอันตราย หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในคลินิกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น ถ้าถามว่า “ควรร้อยไหมหน้าเรียวที่ไหนดี?” คำตอบคือที่ KKC Clinic ค่ะ เพราะนอกจากเราจะเป็นคลินิกที่เข้าเกณฑ์ตามที่กล่าวมาแล้ว เรายังทำการร้อยไหมโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 18 ปี ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจกับคนไข้ และให้ความปลอดภัยอีกด้วย
ภายหลังการร้อยไหม ควรเลือกรับประทานอาหารอย่างไร?
ภายหลังจากการร้อยไหม ควรงดรับประทานอาหารที่ได้กล่าวไปในข้างต้น เช่น หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง อาหารดิบหรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ ทั้งนี้ คนไข้ควรรับประทานสัปปะรด เพราะในสับปะรดมีสารบรอมีเลน (Bromelain) ที่จะช่วยให้อาการปวด บวม ช้ำหายได้เร็วขึ้น
สรุปเรื่องการร้อยไหม
การร้อยไหมเป็นหัตถการที่จะช่วยยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวได้จริง ซึ่งจะสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ แม้ว่าการร้อยไหมจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยแค่เพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะไม่สามารถยกกระชับใบหน้าได้มากเท่ากับการผ่าตัดดึงหน้า แต่การร้อยไหมก็เป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ได้ดี เจ็บตัวน้อยกว่า ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า มีวิธีการดูแลตัวเองน้อยกว่า มีความปลอดภัยกว่า รวมถึงมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ น้อยกว่าการผ่าตัดดึงหน้า ทั้งนี้ การร้อยไหมควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและมีความปลอดภัย อย่างที่ KKC Clinic