ดูดไขมันหน้าท้อง หนทางกำจัดพุงย้อย พุงยื่น พุงใหญ่

พุงย้อย พุงยื่น พุงใหญ่ พุงหมาน้อย เอวห่วงยาง เป็นปัญหากวนใจที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน นอกจากจะส่งผลกระทบต่อความสวยงามและบุคลิกภาพแล้ว ยังสามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นใจได้ด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดได้แม้กับคนที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะยังคงมีไขมันส่วนเกินอยู่ การดูดไขมันหน้าท้องด้วยวิธี VASER ที่ KKC Clinic จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ปัญหาที่มีความปลอดภัย ทั้งนี้ หากทำการดูดไขมันหน้าท้องควบคู่กับโปรแกรมกระชับผิวและสัดส่วนอย่าง J-Plasma ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงอยู่ได้ยาวนานขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้อาจขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
การดูดไขมันหน้าท้องคืออะไร?
การดูดไขมันหน้าท้อง (Abdominal Liposuction) คือ การดูดไขมันสะสมส่วนเกินใต้ผิวหนัง ไม่ใช่การดูดไขมันภายในช่องท้อง โดยจะดูดออกมาจากบริเวณท้องส่วนบน (Upper Abdomen) ท้องส่วนล่าง (Lower Abdomen) เอวหน้า (บริเวณระหว่างชายโครงกับสะโพก) เอวหลัง (บริเวณหลังส่วนล่าง) และรอบสะโพก (บริเวณห่วงยางรอบเอว) จึงช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีหน้าท้องยื่น ท้องป่อง หรือมีห่วงยางรอบเอว ช่วยให้หน้าท้องกลับมาแบนราบอีกครั้ง นอกจากนี้ การดูดไขมันหน้าท้องยังสามารถสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง (six pack) ในผู้ชาย สร้างส่วนโค้งเว้า (เอว S) และ sexy line (ร่อง 11) ในผู้หญิงอีกด้วย
การดูดไขมันหน้าท้องที่ KKC Clinic ใช้วิธี VASER คือการใช้เครื่อง VASER Smooth 2.2 ปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์เข้าไปทำให้ไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวแตกตัวและมีความเหลวมากขึ้น จากนั้นจึงใช้เข็มแคนนูล่าดูดออกมาอย่างนุ่มนวล เซลล์ไขมันจึงถูกกำจัดออกจากหน้าท้องอย่างถาวร ทั้งนี้ การดูดไขมันหน้าท้องควรทำควบคู่กับโปรแกรม J-Plasma เพื่อช่วยกระชับผิวภายหลังจากที่ไขมันถูกดูดออกไปแล้ว
ข้อดีของการดูดไขมันหน้าท้อง
ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง สามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งกับคนที่ไม่ได้มีน้ำหนักเกิน หรือมีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะอาจจะเป็นจากไขมันที่สะสมเฉพาะจุด แม้จะออกกำลังกายและลดน้ำหนักแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้ไขมันส่วนนี้หายไป การดูดไขมันหน้าท้องจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินนี้ ซึ่งการดูดไขมันหน้าท้องด้วยวิธี VASER ยังมีข้อดีอื่น ๆ ได้แก่
- เป็นการดูดไขมันส่วนเกินออกมาจากร่างกายอย่างถาวร สามารถดูดไขมันปริมาณมากออกจากหน้าท้องในการรักษาครั้งเดียว แต่ไม่ได้ดูดออกมากจนเกินไป
- เป็นวิธีแก้ปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณหน้าท้องที่รวดเร็วและเห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนทันทีหลังทำ
- ช่วยให้ได้รูปร่างในแบบที่ต้องการ เช่น six pack ในผู้ชาย รวมถึงเอว S และ sexy line ในผู้หญิง เพราะสามารถออกแบบปริมาณไขมันที่ต้องการดูดออกมาจากหน้าท้องแต่ละจุดได้อย่างแม่นยำ
- มีการใช้ยาชาก่อนทำการดูดไขมันหน้าท้อง คนไข้จึงแทบจะไม่รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย
- เปิดแผลขนาดเล็กเพียง 3 – 5 มม. ทำให้แทบไม่เห็นรอยแผลหลังทำเสร็จ
- ใช้เทคโนโลยี VASER เพื่อทำให้ไขมันแตกตัวก่อนดูดออกมา จึงสามารถดูดไขมันออกมาได้ง่ายขึ้น ไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น ๆ โดยรอบ แตกต่างจากวิธีการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
- ภายหลังการดูดไขมันหน้าท้อง ใช้เวลาพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการเพียงเล็กน้อยก็สามารถกลับบ้านได้ อีกทั้งร่างกายยังสามารถฟื้นตัวได้ไว
- เป็นวิธีการกำจัดไขมันหน้าท้องที่มีความปลอดภัยสูง
ใครบ้างที่ควรดูดไขมันหน้าท้อง?
ผู้ที่เหมาะกับการกำจัดไขมันสะสมส่วนเกินเฉพาะจุดด้วยการดูดไขมันหน้าท้อง ได้แก่
- คนที่มีไขมันสะสมส่วนเกินเฉพาะจุดบริเวณหน้าท้อง ทำให้มีปัญหาพุงย้อย พุงยื่น พุงใหญ่ พุงป่อง พุงเป็นชั้น พุงหมาน้อย หรือเอวห่วงยาง
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะมาก ๆ ซึ่งภายหลังจากที่น้ำหนักลดลงมาแล้ว ยังคงมีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องอยู่
- คุณแม่หลังคลอดที่แม้จะลดน้ำหนักแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาหน้าท้องย้วย รวมถึงหน้าท้องขยายแล้วไม่ยุบ
- ผู้ที่คุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว แต่ก็ยังมีไขมันสะสมส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง
- ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีน้ำหนักตัวไม่มากจนเกินไป เพราะการดูดไขมันหน้าท้องไม่ใช่การลดน้ำหนัก เพียงแต่จะช่วยปรับลดสัดส่วนเฉพาะบริเวณที่กำหนดเท่านั้น
- ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนรูปลักษณ์ สร้างความมั่นใจ
- ผู้ชายที่ต้องการมี six pack รวมถึงผู้หญิงที่ต้องการมีเอว S และ sexy line
ใครบ้างที่ไม่ควรดูดไขมันหน้าท้อง?
แม้ว่าการดูดไขมันหน้าท้อง จะช่วยแก้ปัญหาไขมันสะสมส่วนเกินเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การดูดไขมันหน้าท้องก็ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสำหรับทุกคน ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการดูดไขมันหน้าท้องและอยู่ในเงื่อนไขตรงตามที่กล่าวมานี้ ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ก่อน เพราะการวินิจฉัยของแพทย์อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
- ผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักตัวมากเกินไป โดยอาจประมาณได้จากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่มากกว่า 32
- ผู้ที่มีไขมันช่องท้องมากกว่าคนปกติ เพราะเป็นไขมันส่วนที่ไม่สามารถดูดออกมาได้
- ผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดหน้าท้อง มีแผลเป็นค่อนข้างใหญ่ ไส้เลื่อน หรือผนังหน้าท้องแยก รวมถึงผู้ที่เคยผ่านิ่วหรือไส้ติ่ง ซึ่งแม้จะเป็นรอยแผลขนาดเล็ก แต่ก็ควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ รวมถึงคนที่มีน้ำหนักตัวมากจากปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ผู้ที่มีระบบเผาผลาญผิดปกติหรือผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์ต่ำ
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่คงที่ เช่น อยู่ในระหว่างการลดน้ำหนัก หรือน้ำหนักกำลังลดลงมาก ๆ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้อง
นอกจากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการดูดไขมันหน้าท้องและรายละเอียดในการเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่จะเข้ารับบริการแล้ว คนไข้ยังต้องมีการเตรียมตัวดังนี้
- เข้ารับการตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์
- แจ้งข้อมูลสุขภาพของท่านกับแพทย์ เช่น โรคประจำตัว ยาที่แพ้ หรือยาที่รับประทานเป็นประจำ
- งดทานยาและอาหารเสริมบางชนิด เพราะอาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดและทำให้ตับกำจัดยาชาได้ช้าลง อาจเกิดภาวะยาชาเป็นพิษ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน น้ำมันตับปลา และวิตามินซี อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้อง
- งดการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้อง
- งดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้องอย่างน้อย 6 ชม.
- เช็กวันที่มาของรอบเดือน ไม่ให้ตรงกับวันที่เข้ารับการดูดไขมันหน้าท้อง
- คนไข้ควรอาบน้ำ สระผม และชำระล้างร่างกายให้สะอาดเรียบร้อย ก่อนมาเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้อง
- ในวันที่เข้ารับการดูดไขมันหน้าท้อง คนไข้ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายหรือมีความหลวม รวมถึงเลือกชุดที่สามารถใส่ – ถอดได้โดยไม่ถูกแผล หรือเตรียมชุดในลักษณะดังที่กล่าวมานี้เพื่อเปลี่ยนในภายหลัง
ขั้นตอนการดูดไขมันหน้าท้อง
ก่อนเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้อง ศัลยแพทย์จะทำการพูดคุยและให้คำปรึกษากับคนไข้อย่างละเอียด เกี่ยวกับเป้าหมายและความคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ประเมินสภาพร่างกาย รวมถึงออกแบบตำแหน่งที่จะทำการดูดไขมันและปริมาณไขมันที่จะถูกดูดออกมา โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและความต้องการของคนไข้แต่ละบุคคลโดยเฉพาะ จากนั้น เมื่อคนไข้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการดูดไขมันหน้าท้อง ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
ศัลยแพทย์จะทำเครื่องหมายกำหนดบริเวณที่จะดูดไขมันหน้าท้องและให้ยาระงับอาการเจ็บ (ยาชา) เฉพาะที่
ขั้นตอนที่ 2
ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลขนาดเล็กเพื่อดูดไขมันหน้าท้อง ขนาดประมาณ 3 – 5 มม. เพื่อใส่หัวดูดแคนนูล่าของเครื่อง VASER Smooth 2.2
ขั้นตอนที่ 3
เครื่อง VASER Smooth 2.2 จะปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์เพื่อทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวและมีความเหลวมากขึ้น ช่วยให้สามารถดูดไขมันบริเวณหน้าท้องออกมาได้อย่างง่ายดาย รวมถึงทำลายพังผืดที่กั้นไขมันแต่ละห้อง เพื่อให้ดูดไขมันออกมาแล้วเกลี่ยได้เท่า ๆ กันในทุกพื้นที่ ลดโอกาสที่หน้าท้องจะเกิดเป็นคลื่น ซึ่งในขั้นตอนนี้จะไม่ก่อให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่ออื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ
จากนั้น ศัลยแพทย์จะใช้หัวดูดแคนนูล่าของเครื่อง VASER Smooth 2.2 ดูดไขมันหน้าท้องออกมาจากบริเวณที่กำหนดไว้อย่างละเอียดและแม่นยำ โดยจะดูดไล่จากไขมันระดับชั้นที่อยู่ลึก กลาง และตื้นในท้ายที่สุด
ขั้นตอนที่ 4
ภายหลังจากดูดไขมันหน้าท้องเสร็จสิ้นแล้ว ศัลยแพทย์จะทำการเย็บปิดแผลด้วยความประณีต เพื่อให้รอยแผลสวยงามและมีขนาดเล็กที่สุด ลดความเสี่ยงในการเกิดแผลอักเสบและบวมช้ำ
การดูดไขมันหน้าท้องด้วยวิธี VASER ร่วมกับการทำโปรแกรม J-Plasma
โปรแกรม J-Plasma คือ โปรแกรมที่จะช่วยยกกระชับผิวหนังที่หย่อนคล้อย โดยใช้พลังงานของฮีเลียมพลาสมา (Helium Plasma) หรือก๊าซเฉื่อยความเย็น ร่วมกับพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency – RF) ทำให้เส้นใยโครงสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ หดตัวลง รวมไปถึงเนื้อเยื่อในโพรงชั้นผิวหนังที่มีช่องว่างหลังจากไขมันถูกดูดออกไปแล้ว ก็จะหดรัดตัวลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผิวหนังของเราจึงจะกระชับขึ้นทันที หน้าท้องจะแบนเรียบและไม่หย่อนคล้อย
โปรแกรม J-Plasma จะใช้การสอดท่อพลังงานเข้าไปทางแผลเดียวกับที่ใช้เครื่อง VASER ดูดไขมันออกมา ดังนั้น เพื่อผลลัพธ์ภายหลังการดูดไขมันหน้าท้องที่มีประสิทธิภาพและคงอยู่เป็นระยะเวลานาน จึงควรทำการดูดไขมันหน้าท้องพร้อมกับโปรแกรม J-Plasma
การดูแลตัวเองภายหลังการดูดไขมันหน้าท้อง
ภายหลังจากเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้องแล้ว คนไข้ควรพักสังเกตอาการอย่างน้อย 30 นาทีหรือตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ หากไม่มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น คนไข้ก็สามารถกลับบ้านได้ทันที ซึ่งหลังจากที่คนไข้กลับบ้านไปแล้ว คนไข้ควรปฏิบัติตัวดังนี้
- ทำความสะอาดแผลที่เกิดจากการดูดไขมันหน้าท้องทุกวัน ตามคำแนะนำของแพทย์
- ห้ามให้แผลโดนน้ำเป็นระยะเวลา 7 วัน หรือจนกว่าจะทำการตัดไหม
- สวมใส่ชุดกระชับตลอด 24 ชม. ในระยะเวลา 1 เดือนแรกภายหลังจากการดูดไขมันหน้าท้อง หลังจากนั้นให้ใส่ชุดกระชับเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ในตอนกลางวันที่มีการขยับตัวทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ งดทานยาและอาหารเสริมบางชนิด รวมถึงการทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล อาหารดิบ และอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ (หากไม่แน่ใจ ให้สอบถามกับแพทย์ผู้ทำการรักษา)
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องอาศัยการขยับตัวมาก ๆ เช่น การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาบางประเภท รวมถึงการยกของหนัก ๆ
- ทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งและมาพบแพทย์ทุกครั้งตามนัดหมาย
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังดูดไขมันหน้าท้อง
การดูดไขมันหน้าท้อง อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยที่สามารถพบได้เป็นปกติ เช่น อาการบวม รอยช้ำ หรือความไม่สบายบางประการในบริเวณที่ดูดไขมัน ทั้งนี้ การดูดไขมันหน้าท้องที่ KKC Clinic จะอยู่ภายใต้การดูแลของศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน รวมถึงปัจจัยในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความแม่นยำของเครื่อง VASER Smooth 2.2 ที่เราเลือกใช้ ทำให้ผลข้างเคียงดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และไม่รุนแรง ทั้งนี้ คนไข้จะได้รับคำปรึกษาเรื่องผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในขั้นตอนการพบแพทย์ก่อนเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้องเสมอ
ค่าใช้จ่ายในการดูดไขมันหน้าท้อง
ค่าใช้จ่ายในการดูดไขมันหน้าท้องเริ่มต้นที่ 39,900 บาท ทั้งนี้ ในคนไข้แต่ละคนจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการประเมินของศัลยแพทย์และความต้องการของคนไข้ ดังนั้น ก่อนเข้ารับการดูดไขมันหน้าท้องที่ KKC Clinic คนไข้จะได้รับการวิเคราะห์และประเมินบริเวณที่ต้องการดูดไขมันอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ภายหลังการรักษาที่ดีที่สุด รวมถึงทราบค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างชัดเจน
ทำไมต้องดูดไขมันหน้าท้องที่ KKC Clinic?
การดูดไขมันหน้าท้องจำเป็นต้องทำกับศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพราะหากศัลยแพทย์ผู้ทำการดูดไขมันไม่มีความชำนาญแล้ว อาจสอดเครื่องมือเข้าไปผิดชั้น ทำให้อวัยวะภายในได้รับความเสียหาย รวมถึงการดูดไขมันหน้าท้องในสถานพยาบาลที่ไม่สะอาดเพียงพอ ก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
ที่ KKC Clinic เราทำการดูดไขมันหน้าท้องโดยศัลยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญและมากไปด้วยประสบการณ์ เพราะเรามีศัลยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการดูดไขมันมากว่า 18 ปี พร้อมด้วยเครื่องมือที่มีความทันสมัย ในคลินิกที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรอง รวมถึงมีเจ้าหน้าที่ที่จะคอยติดตามผลลัพธ์ภายหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด คนไข้จึงสามารถมั่นใจได้ว่า การดูดไขมันหน้าท้องที่ KKC Clinic นอกจากจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจแล้ว ยังมีความปลอดภัยอีกด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูดไขมันหน้าท้อง
การดูดไขมันหน้าท้องทำให้รู้สึกเจ็บไหม?
ในขั้นตอนการดูดไขมันหน้าท้อง จะมีการให้ยาชาเฉพาะที่กับบริเวณที่ต้องการดูดไขมันออกมาก่อน ซึ่งคนไข้อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในขั้นตอนนี้
หลังจากดูดไขมันหน้าท้องแล้วจะต้องพักฟื้นกี่วัน?
ภายหลังการดูดไขมันหน้าท้อง คนไข้อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศัลยแพทย์ผู้ทำการรักษา
ผลลัพธ์จากการดูดไขมันหน้าท้องจะอยู่นานแค่ไหน?
การดูดไขมันหน้าท้องจะช่วยกำจัดเซลล์ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องออกไปได้อย่างถาวร ทั้งนี้ เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้ยาวนานขึ้น คนไข้จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เซลล์ไขมันที่เหลืออยู่ขยายตัวใหญ่ขึ้นหรือมีการสร้างเซลล์ไขมันให้กลับมาสะสมใหม่อีกครั้ง
การดูดไขมันหน้าท้องอันตรายไหม?
การดูดไขมันหน้าท้องที่ทำโดยศัลยแพทย์ผู้มีความชำนาญ ในสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน จะมีความปลอดภัยสูง ดังนั้น ควรเลือกดูดไขมันหน้าท้องกับศัลยแพทย์และคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ อย่างที่ KKC Clinic เท่านั้น
สรุปเรื่องการดูดไขมันหน้าท้อง
การดูดไขมันหน้าท้องไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่เป็นการปรับลดสัดส่วน โดยการดูดไขมันหน้าท้อง คือการดูดไขมันส่วนเกินที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังบริเวณหน้าท้องและรอบ ๆ เอวออกมา โดยใช้วิธี VASER ซึ่งจะมีการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวก่อน ช่วยให้การดูดไขมันทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากทำการดูดไขมันหน้าท้องร่วมกับโปรแกรม J-Plasma จะช่วยให้ภายหลังจากที่ไขมันถูกดูดออกไปแล้ว ผิวหนังจะยังคงกระชับ และมีหน้าท้องที่แบนราบ ทั้งนี้ การดูดไขมันหน้าท้องที่ KKC Clinic จะทำโดยศัลยแพทย์ผู้มีความชำนาญและทำในคลินิกที่มีมาตรฐานผ่านการรับรองเท่านั้น