ฉีด Juvelook เพื่อผิวใสเด้ง ฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี

สาว ๆ คนไหนที่อยากมีผิวสวยเงาใสแบบ Glass Skin แต่ก็เบื่อการทาครีมที่รู้สึกว่าเห็นผลไม่ทันใจ แนะนำให้มาหาเราทางนี้เลยค่ะ ที่ KKC Clinic เรามีโปรแกรมฉีดงานผิว Juvelook ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในประเทศเกาหลี เพราะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีสุด ๆ แต่ถ้าใครยังลังเลสงสัย ไม่แน่ใจว่า “Juvelook คืออะไร?” หรือ “การฉีด Juvelook จะดีไหม?” ก็ลองมาอ่านเรื่องของ Juvelook กันได้ในบทความนี้ค่ะ
Juvelook คืออะไร?
Juvelook (จูวีลุค) คือ Hybrid Collagen Biostimulator จากประเทศเกาหลี ที่ประกอบด้วย Poly D, L-Lactic Acid (PDLLA) และ Non-Crosslinked HA (Hyaluronic Acid) หรือ HA แบบเหลว ไม่คงรูป ที่เหมาะกับการฉีดเพื่องานผิว โดย Juvelook โดดเด่นด้านการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งการฉีด Juvelook จะฉีดลงในชั้นหนังแท้ (Dermis) หลังฉีดจะให้ผลลัพธ์ในเรื่องของการเติมเต็มบางส่วนทันที อีกทั้งผลลัพธ์ที่ได้ยังเป็นธรรมชาติและอยู่อย่างยาวนาน
Juvelook จัดเป็นตัวยาที่มีความปลอดภัยสูง ฉีดแล้วไม่แสบ ไม่เป็นก้อน ไม่ทิ้งสารตกค้าง เพราะสามารถสลายได้เอง อีกทั้งยังผ่านการรับรองจากอย, KFDA รวมถึง CE Mark และยังได้รับรางวัล Korea Consumer Award ถึง 2 ปีซ้อน ซึ่งแสดงถึงความเป็นที่นิยมอย่างมาก
Juvelook ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
Juvelook เป็นโปรแกรมที่ช่วยฟื้นบำรุงและแก้ปัญหาของใบหน้าได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้ทั้งหน้าโทรมและหน้าแก่ก่อนวัย ซึ่งประโยชน์ของ Juvelook ก็มีตามนี้ค่ะ
- ลดริ้วรอยเล็ก ๆ กับร่องตื้น โดยสามารถใช้ฉีดหน้าผาก, ระหว่างคิ้ว, ร่องน้ำตา, หางตา, ใต้ตา ที่ไม่นิยมฉีดด้วยฟิลเลอร์
- ทำให้ริ้วรอยและร่องลึกดูตื้นขึ้น เช่น ร่องแก้ม, ร่องน้ำหมาก, รอยพับตรงคอ
- ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
- กระชับรูขุมขนให้เล็กลง
- ลดรอยแดงและรอยดำจากสิว
- ทำให้รอยแผลเป็นที่บุ๋มลงไปดูตื้นขึ้น
- เพิ่มความชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและมีคุณภาพดีขึ้น
- ช่วยให้ผิวอิ่มฟู แน่น และยกกระชับมากขึ้น ลดความหย่อนคล้อย
- ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและเรียบเนียน หน้าจึงดูเด็กลง
- ลดความหมองคล้ำ ทำให้ผิวกระจ่างใสและฉ่ำวาว
- สามารถใช้ฉีดใต้ตา เพื่อให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและลดความหมองคล้ำ
- ทำให้รอยแตกลายจางลง เช่น หน้าอก, หน้าท้อง, ต้นขา, ก้น
Juvelook ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?
Juvelook สามารถฉีดได้ทั้งกับใบหน้าและลำตัวค่ะ ซึ่งตัวอย่างของจุดที่สามารถฉีดได้ก็จะมีดังนี้
- ใบหน้า: หน้าผาก, เปลือกตา, ร่องน้ำตา, ตีนกา, ใต้ตา, หน้าแก้ม, ร่องแก้ม, ร่องน้ำหมาก
- ลำตัว: คอ, หลังมือ, ต้นแขน, ข้อศอก, ข้อพับ, หน้าท้อง, ก้น, ต้นขา, หัวเข่า
ขั้นตอนและวิธีการดูแลตัวเองหลังการฉีด Juvelook
ก่อนการฉีด Juvelook จะมีการแปะยาชาหรือประคบเย็นเพื่อลดความเจ็บขณะฉีด ซึ่ง Juvelook ยังเป็นยาที่ฉีดแล้วไม่แสบ หลังฉีดจะมีโอกาสบวมน้อยมาก ๆ อีกทั้งยังไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น เพียงแต่ต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำ โดย Juvelook ควรฉีดติดต่อกัน 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน จึงจะเห็นผลที่ชัดเจนและอยู่ได้นาน หลังจากนั้นสามารถมาฉีดซ้ำได้ในทุก ๆ 6 – 12 เดือน
วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด Juvelook ได้แก่
- ไม่สัมผัส กด หรือนวดในบริเวณที่ฉีดทันที อย่างน้อย 24 ชม.
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 24 ชม.
- งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชม.
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชม.
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ต้องอยู่หน้าเตาร้อน ๆ เช่น หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู อย่างน้อย 48 ชม.
- หลีกเลี่ยงการตากแดดหรือการอยู่ในที่ร้อน ๆ เช่น กลางแจ้ง ซาวน่า ออนเซ็น อย่างน้อย 14 วัน
- ทาครีมกันแดดและครีมบำรุงบ่อย ๆ
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 – 12 แก้ว
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และกลับมาพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติ
ผลลัพธ์หลังการฉีด Juvelook
หลังฉีด Juvelook จะทำให้ริ้วรอยและร่องต่าง ๆ รวมถึงหลุมสิวกับแผลเป็นดูตื้นขึ้นทันที ส่วนผลลัพธ์ทั้งหมดจะเห็นชัดเจนเต็มที่ใน 2 – 4 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ 1 – 2 ปี
Juvelook แตกต่างจากโปรแกรมฉีดอื่น ๆ ยังไง?
หลายคนน่าจะมีคำถามว่า Juvelook กับโปรแกรมฉีดงานผิวอื่น ๆ แตกต่างกันยังไง? วันนี้เราจึงคัดคู่เปรียบเทียบ Juvelook กับโปรแกรมฉีดเด่น ๆ มาให้ดูกันค่ะ
- Juvelook vs Sculptra: แม้จะเป็น Collagen Biostimulator เหมือนกัน แต่ Juvelook จะประกอบด้วย PDLLA กับ HA ในขณะที่ Sculptra จะประกอบด้วย PLLA (Poly-L-Lactic) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 ซึ่งหลังฉีดแล้วจะต้องนวดหน้า แต่ Juvelook ไม่ต้อง
Juvelook จะสามารถใช้เติมเต็มริ้วรอย ร่อง และหลุมสิว กระชับรูขุมขน รวมถึงลดเลือนรอยแตกลาย แต่ Sculptra จะเหมาะกับการฟื้นฟูสภาพผิวที่โครงสร้าง ช่วยยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่ยืดหยุ่น ไม่แข็งแรง ซึ่งการฉีด Sculptra ต้องใช้เวลานานกว่าถึงจะเห็นผลลัพธ์ - Juvelook vs Rejuran: Juvelook จะประกอบด้วย PDLLA กับ HA ในขณะที่ Rejuran จะประกอบด้วย PN (Polynucleotide) ซึ่งสกัดมาจากอสุจิของปลาแซลมอน โดย Rejuran จะเน้นการให้ผลลัพธ์เรื่องของผิวขาว กระจ่างใส และฉ่ำวาว ซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ให้ผิวแข็งแรงและสุขภาพดี ในขณะที่ Juvelook จะช่วยในเรื่องการเติมเต็มเล็ก ๆ และทำให้ผิวแน่นกระชับ จึงเหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยแห่งวัย
- Juvelook vs Skinvive: Juvelook จะประกอบด้วย PDLLA กับ HA ในขณะที่ Skinvive จะประกอบด้วย HA ที่ช่วยเพิ่ม AQP-3 (Aquaporin3) จึงเน้นเรื่องการเติมและกักเก็บน้ำให้ผิว ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำน้ำ และอิ่มฟูอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความโกลว์ใส เล่นแสง หรือที่เรียกว่า ‘ผิววิบ’ อีกทั้งยังช่วยลดความมันบนหน้าและทำให้แต่งหน้าติดทนขึ้นอีกด้วย จึงเหมาะที่จะเป็นงานผิวเข็มแรกของทุกคน ซึ่งผลลัพธ์ของ Skinvive จะอยู่ได้นาน 9 เดือน แต่ Juvelook จะช่วยในการลดเลือนริ้วรอย เติมร่องและหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น เรียบเนียน และยกกระชับ จึงเหมาะกับผู้ที่มีอายุมากกว่า โดยผลลัพธ์ของการฉีด Juvelook จะอยู่ได้นาน 1- 2 ปี
- Juvelook vs Rejuwhite: Juvelook จะประกอบด้วย PDLLA กับ HA ในขณะที่ Rejuwhite จะเป็นตัวยาสูตรพิเศษที่คิดค้นโดย KKC Clinic จึงมีส่วนประกอบหลากหลาย โดยจะเน้นผลลัพธ์ที่การแก้ปัญหาผิวคล้ำเสียจากแสงแดด ช่วยให้ผิวสว่างกระจ่างใส บริ๊งค์ไบร์ทแบบมีออร่า และลดความหมองคล้ำ แต่ไม่ช่วยเรื่องการเติมเต็มแบบ Juvelook
- Juvelook vs Revive: Juvelook จะประกอบด้วย PDLLA กับ HA ในขณะที่ Revive จะประกอบด้วย HA และ Glycerol หรือจะบอกว่าเป็นฟิลเลอร์งานผิวที่ช่วยให้ผิวเงาใสแบบ Glass Skin ก็ได้ ในขณะที่ Juvelook จะไม่ช่วยเรื่องความเงาได้มากเท่า แต่ก็ให้ผลลัพธ์อื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน
Juvelook ราคาเท่าไหร่?
Juvelook 1 ขวด / 6 cc ราคา 15,500 บาท ที่ KKC Clinic
ฉีด Juvelook ที่ไหนดี?
จะฉีด Juvelook ทั้งที ต้องฉีด Juvelook ของแท้ ราคาดี ที่ KKC Clinic เท่านั้น เพราะนอกจากเราจะใช้ตัวยาที่นำเข้าอย่างถูกต้องแล้ว ทีมแพทย์ของเรายังเชี่ยวชาญในทุกโปรแกรมฉีด เพราะผ่านการเทรนเทคนิคการฉีดมาแล้วเรียบร้อย นอกจากนี้ KKC Clinic ยังเป็นคลินิกที่ใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีทันสมัย รวมถึงสามารถมอบผลลัพธ์ที่ลูกค้าพึงพอใจจนได้รับการบอกต่อและรีวิวกันมากมาย ที่สำคัญคือเราเป็นคลินิกที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน จึงมีความปลอดภัย และยังมีความสะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยสาขาที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Juvelook
Juvelook ฉีดแล้วบวมไหม?
การฉีด Juvelook จะมีโอกาสบวมน้อยมาก ๆ
Juvelook ควรฉีดครั้งละกี่ cc
การฉีด Juvelook ทั่วทั้งใบหน้าจะแนะนำอยู่ที่ครั้งละ 1 ขวด (6 cc) แต่ถ้าฉีดเฉพาะบางจุดหรือฉีดที่ลำตัว แนะนำให้เข้ารับการประเมินจากแพทย์เพื่อที่จะได้ทราบจำนวนที่แน่นอน
Juvelook (จูวีลุค) ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?
Juvelook ควรฉีดติดต่อกัน 3 ครั้ง ถึงจะเห็นผลชัดเจน โดยเว้นระยะห่างกันครั้งละ 1 เดือน
Juvelook ฉีดใต้ตาได้ไหม?
Juvelook สามารถฉีดใต้ตาได้ โดยจะช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องของริ้วรอยและความหมองคล้ำ
Juvelook vs Sculptra ต่างกันยังไง?
Juvelook กับ Sculptra จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator เหมือนกัน แต่แตกต่างกันทั้งในเรื่องของส่วนประกอบ ผลลัพธ์เด่น ๆ ที่ได้ รวมถึงระยะเวลาในการรอให้เห็นผล ตามรายละเอียดที่ได้กล่าวไปแล้ว
สรุปเรื่องการฉีด Juvelook
Juvelook ประกอบด้วย PDLLA และ HA ที่โดดเด่นในเรื่องของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยทั้งในเรื่องของการทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู เด้งดึ๋ง และฉ่ำวาว โดย Juvelook ยังสามารถใช้ฉีดเพื่อลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่อง หลุมสิว รอยแผลเป็น รวมถึงทำให้รอยแดง รอยดำ และรอยแตกลายต่าง ๆ ตามตัวดูจางลง เพราะ Juvelook สามารถใช้ฉีดได้ทั่วทั้งใบหน้าและลำตัว แต่บริเวณที่เหมาะมาก ๆ คือใต้ตา ซึ่งจะช่วยลดทั้งริ้วรอยและความหมองคล้ำได้ดี หากคนไข้ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเหมาะกับการฉีด Juvelook ไหม ก็สามารถมาพบแพทย์ที่ KKC Clinic ก่อนได้ค่ะ เพราะทีมแพทย์ของเราเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อประเมินถึงโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด