การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร ฉีดแล้วช่วยอะไรได้บ้าง?

แบนเนอร์แสดงภาพหญิงสาวผิวเรียบเนียน พร้อมข้อความ "โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์" และ "คืออะไร ฉีดเพื่ออะไร ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง"

โบท็อกซ์ เป็นตัวยาที่จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อ จึงถูกนำมาใช้ในการเสริมความงาม เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ลดเลือนริ้วรอย, ลดขนาดกราม, ปรับรูปหน้า และยกกระชับกรอบหน้ากับเหนียง รวมถึงสามารถใช้ลดเหงื่อและลดขนาดต้นแขนกับน่องได้ด้วยค่ะ ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย หลังฉีดแล้วเห็นผลชัดเจนจริง จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

ผลลัพธ์ที่ได้อาจขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

โบท็อกซ์คืออะไร และมีหลักการทำงานยังไง?

โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) คือสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium Botulinum) ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในวงการเสริมความงาม ในรูปแบบของตัวยาบรรจุขวดสำหรับฉีด หรือที่เรารู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า ‘โบท็อกซ์ (Botox)’ นั่นเองค่ะ

หลักการทำงานคือ เมื่อเราฉีดโบท็อกซ์เข้าไปแล้ว โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ เมื่อกล้ามเนื้อไม่ได้รับสารสื่อประสาท ก็จะไม่ได้รับคำสั่งจากระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวน้อยลง หรือไม่หดตัวชั่วคราว เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว ผิวหนังบริเวณนั้นก็จะเต่งตึง ไม่เกิดเป็นรอยพับ และริ้วรอยต่าง ๆ

ข้อดีและข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์คือ แม้ว่าหลังจากฉีดโบท็อกซ์จะไม่เห็นผลทันที แต่ก็ใช้ระยะเวลาค่อนข้างไว เมื่อออกฤทธิ์แล้วจะเห็นผลจริง เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวร เพราะโบท็อกซ์สามารถสลายไปเองได้ 100% แต่เพราะสลายได้และไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย จึงทำให้เป็นตัวยาที่มีความปลอดภัย ซึ่งก็ได้ผ่านการรับรองจากอย. ให้ใช้สำหรับการเสริมความงามแล้วค่ะ

การฉีดโบท็อกซ์ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

นอกจากการฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแล้ว การฉีดโบท็อกซ์ยังช่วยในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น บริเวณหน้าผาก, หางตา, ระหว่างคิ้ว ทำให้หน้าดูเด็กลง รวมถึงลดโอกาสในการเกิดริ้วรอยลึกหรือถาวร
  • ลดกราม ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวแบบ V-Shape มากขึ้น 
  • ยกกระชับกรอบหน้าและเหนียง ทำให้เห็นกรอบหน้าชัดขึ้น 
  • ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว เช่น บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
  • ลดขนาดบริเวณที่มีกล้ามเนื้อใหญ่ ๆ เช่น ต้นแขนหรือน่อง ทำให้แขน – ขาดูเรียวเล็กลง
  • ลดปีกจมูก ทำให้ปีกจมูกดูแคบลง หรือฉีดรัดแกนจมูก ให้สันจมูกดูชัดขึ้น
  • กระชับรูขุมขน ลดความมันบนใบหน้า จึงช่วยลดโอกาสในการเกิดสิว
  • รักษาโรคต่าง ๆ เช่น ไมเกรน หรือออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)

ใครที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์?

ที่จริงแล้ว การฉีดโบท็อกซ์จะเหมาะสำหรับคนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป หากเราเริ่มฉีดตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต ทำให้หน้าแก่ช้ากว่าคนที่ไม่ได้ฉีดค่ะ

นอกจากนี้ การฉีดโบท็อกซ์ยังเหมาะกับคนที่มีริ้วรอยบนใบหน้าและลำคอ, คนที่มีกรามใหญ่ หน้าไม่เรียว กรอบหน้าไม่ชัด, คนที่มีเหงื่อออกเยอะ มีกลิ่นตัว, คนที่มีแขนใหญ่ น่องใหญ่ รวมถึงคนที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง และปวดคอ / บ่า / ไหล่ด้วยค่ะ

ทั้งนี้ การฉีดโบท็อกซ์จะไม่เหมาะกับคนบางกลุ่ม เช่น คุณแม่ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร, คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง / โรคหอบหืด / โรคถุงลมโป่งพอง, คนที่มีผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด รวมถึงคนที่แพ้โบท็อกซ์ค่ะ

โบท็อกซ์ฉีดตรงจุดไหนได้บ้าง?

ในหัวข้อนี้เราจะมาดูกันค่ะว่า จุดที่นิยมฉีดโบท็อกซ์ (Botox) คือตรงไหน? แต่ละจุดควรใช้ปริมาณเท่าไหร่? และการฉีดโบท็อกซ์ในแต่ละจุดมีราคาเริ่มต้นเท่าไหร่บ้าง?

ราคาฉีดโบท็อกซ์

฿

หน้าผาก (20 ยูนิต)

4,000

ระหว่างคิ้ว (20 ยูนิต)

4,000

ตีนกา (15 ยูนิต)

3,000

จมูก (8 ยูนิต)

1,600

คาง (8 ยูนิต)

1,600

กรอบหน้า (60 ยูนิต)

12,000

ลดกราม (50 ยูนิต)

10,000

ลำคอ (40 ยูนิต)

8,000

รักแร้ (50 ยูนิต)

10,000

ไหล่ (80 ยูนิต)

16,000

คลายกราม / นอนกัดฟัน (50 ยูนิต)

10,000

น่อง (100 ยูนิต)

20,000

*ปริมาณยูนิตโดยเฉลี่ยในแต่ละบริเวณ โปรดนัดปรึกษาคุณหมอเพื่อยูนิตการรักษาที่แน่นอนเฉพาะบุคคล

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ที่ KKC Clinic

หญิงสาวกำลังรับการฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว โดยผู้เชี่ยวชาญสวมถุงมือ ขณะผู้ป่วยนั่งและสวมผ้าคาดศีรษะสีขาว

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ที่ KKC Clinic จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้

ก่อนการฉีดโบท็อกซ์

ก่อนการฉีด คนไข้ก็จะต้องเข้าพบแพทย์ก่อนค่ะ เพื่อให้แพทย์ช่วยวิเคราะห์ว่าจะต้องฉีดโบท็อกซ์ตรงจุดไหนบ้าง และต้องใช้ปริมาณกี่ยูนิต (Unit) ถึงจะเพียงพอต่อการแก้ปัญหาของคนไข้ เพราะหากฉีดมากเกินไป ก็จะทำให้หน้าแข็ง ทั้งนี้ คนไข้ต้องแจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์ในขั้นตอนนี้ด้วยนะคะ เช่น โรคประจำตัว ยาที่กินเป็นประจำ ยาที่แพ้ หรือประวัติการทำหัตถการที่ผ่านมา

เมื่อคนไข้ได้ทำการนัดวันแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์ตามวิธีการดังต่อไปนี้ค่ะ

  • งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชม.
  • งดทาครีมที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและสครับผิวในบริเวณที่จะฉีดอย่างน้อย 3 วัน 
  • งดกินยา วิตามิน และอาหารเสริม ที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, วิตามินอี, น้ำมันปลา, กิงโกะ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ 
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ๆ หรือการตากแดดกลางแจ้งนาน ๆ

ระหว่างการฉีดโบท็อกซ์

เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการฉีด ผู้ช่วยแพทย์จะทำความสะอาดผิวและแปะยาชาให้ จากนั้นแพทย์จะแกะกล่องโบท็อกซ์และผสมน้ำเกลือให้คนไข้ดู เพื่อให้คนไข้สามารถมั่นใจได้ว่าเราใช้แต่โบท็อกซ์ของแท้และของใหม่เท่านั้น เมื่อผสมเสร็จแล้ว แพทย์ก็จะใช้เข็มดูดตัวยาออกมาจากขวดจนหมด แล้วเริ่มฉีดให้คนไข้ตามจุดที่กำหนดไว้ โดยจะมีการประคบเย็นเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดไปด้วย ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาที ไม่รวมระยะเวลาที่รอยาชาออกฤทธิ์นะคะ

ภายหลังจากฉีดโบท็อกซ์

ภายหลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว คนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันที และไม่ต้องไปพักฟื้นต่อ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้โบท็อกซ์สลายเร็วเกินไป คนไข้ก็ต้องระวังในเรื่องข้อห้ามต่าง ๆ และควรปฏิบัติตัวตามวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ดังนี้นะคะ

  • หลังฉีดให้ขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1 – 2 ครั้ง และหลังฉีดเสร็จ ให้ขยับหรือบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทั้งหมดเป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้ตัวยาถูกดูดซึมเข้าไปให้ได้มากที่สุด 
  • งดนอนราบอย่างน้อย 3 – 4 ชม. 
  • งดทาครีมที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวในบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 3 วัน 
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน เช่น กลางแจ้ง, ซาวน่า, ร้านหมูกระทะ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
  • งดทำทรีตเมนต์หรือนวดในบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ กินอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ, อาหารหมักดอง, อาหารรสจัด และอาหารที่ต้องอยู่หน้าเตาร้อน ๆ ประมาณ 2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ 
  • หากมีอาการบวมแดงหรือรอยช้ำ สามารถประคบเย็นได้ 
  • หมั่นสังเกตตัวเอง และรีบกลับมาพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น

ผลลัพธ์ภายหลังการฉีดโบท็อกซ์?

หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว จะเริ่มเห็นผลได้ใน 3 – 7 วัน เห็นผลเต็มที่ใน 2 – 4 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 3 – 8 เดือน ทั้งนี้ ช่วงระยะเวลาที่กล่าวมาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน เช่น จำนวนยูนิตที่ฉีด, ยี่ห้อที่ใช้ รวมถึงตำแหน่งที่ฉีดด้วยค่ะ

ตัวอย่างเช่น การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยจะเริ่มเห็นผลใน 3 – 4 วัน และอยู่ได้นานประมาณ 3 – 4 เดือน ในขณะที่การฉีดโบท็อกซ์กรามจะเริ่มเห็นผลใน 7 วัน และอยู่ได้นานประมาณ 5 – 6 เดือน

การฉีดโบท็อกซ์ควรเว้นระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อป้องกันการดื้อโบท็อกซ์ และควรมาฉีดซ้ำในทุก ๆ 5 – 6 เดือนค่ะ เพื่อคงผลลัพธ์ของการรักษาไว้ ซึ่งการฉีดเป็นประจำมีข้อดีคือ ทำให้ผลลัพธ์ของครั้งถัด ๆ ไปอยู่ได้นานขึ้น และสามารถใช้ปริมาณที่น้อยลงได้

โบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดี?

ที่จริงแล้วโบท็อกซ์มีหลายยี่ห้อและมีที่มาจากหลายประเทศค่ะ โดยโบท็อกซ์ที่ KKC Clinic เลือกใช้ จะเป็นตัวที่ได้รับความนิยม ผ่านการรับรองจากอย. และให้ผลลัพธ์ที่ดี ดังนี้

โบท็อกซ์อเมริกา จาก Allergan

กล่องและขวดบรรจุโบทูลินั่มท็อกซินไทป์เอ ระบุ 100 ยูนิต ผลิตโดย Allergan วางอยู่บนพื้นเรียบ

‘Botox’ เป็นโบท็อกซ์จากประเทศอเมริกา (USA) ที่ผลิตโดยบริษัท Allergan มีข้อดีและจุดเด่นดังนี้ค่ะ

  • Botulinum Toxin ตัวแรกของโลกที่ถูกนำมาใช้ในการเสริมความงาม
  • ถือว่าเป็นโบท็อกซ์ที่ดีที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด
  • มีขนาด 50 และ 100 ยูนิต
  • ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5%
  • โอกาสดื้อยาน้อย
  • ยากระจายตัวแคบ ทำให้สามารถรักษาได้อย่างตรงจุด ให้ผลการรักษาที่ไว แม่นยำ และอยู่ได้นาน 
  • ฉีดแล้วแข็งตึงที่สุด จึงช่วยลดริ้วรอยได้ดี
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6 – 8 เดือน

โบท็อกซ์อังกฤษ จาก Galderma

กล่องและขวดบรรจุคลอสตริเดียมโบทูลินั่มไทป์เอ ระบุ 500 ยูนิต/ขวด ผลิตโดย Ipsen วางอยู่บนพื้นเรียบ

‘Dysport’ เป็นโบท็อกซ์จากประเทศอังกฤษ (UK) ที่นำเข้าโดยบริษัท Galderma มีข้อดีและจุดเด่นดังนี้ค่ะ

  • โบท็อกซ์ Dysport 300 ยูนิต จะเท่ากับโบท็อกซ์ยี่ห้ออื่น 100 ยูนิต
  • ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5%
  • โอกาสดื้อยาน้อย
  • ยากระจายตัวกว้าง จึงให้ผลการรักษาที่ทั่วถึงในบริเวณกว้าง 
  • เหมาะกับการฉีดเพื่อลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว รวมถึงลดขนาดต้นแขนและน่อง
  • ฉีดแล้วไม่ตึงแข็งจนเกินไป ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน

โบท็อกซ์เยอรมัน จาก Merz

กล่องและขวดบรรจุคลอสตริเดียมโบทูลินั่มนิวโรท็อกซินไทป์เอ (150kD) ระบุ 100 LD50 ยูนิต วางอยู่บนพื้นเรียบ

‘Xeomin’ เป็นโบท็อกซ์จากประเทศเยอรมัน (Germany) ที่ผลิตโดยบริษัท Merz มีข้อดีและจุดเด่นดังนี้ค่ะ

  • เป็นโบท็อกซ์ที่รวมข้อดีของ Botox จาก Allergan และ Dysport เข้าไว้ด้วยกัน
  • ตัวยามีความบริสุทธิ์ 100% จึงเป็นโบท็อกซ์ที่มีความบริสุทธิ์สูงที่สุด
  • ไม่มีโอกาสดื้อยา จึงเหมาะกับคนไข้ที่ดื้อโบท็อกซ์ หรือหยุดฉีดไปแล้วนาน ๆ
  • ยากระจายตัวไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป 
  • ฉีดแล้วหน้าไม่แข็ง หน้าไม่หนัก ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน

โบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างกัน การจะเลือกยี่ห้อที่ฉีดจึงขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และความต้องการของคนไข้ โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: โบท็อกยี่ห้อไหนดี? เปรียบเทียบ Allergan, Dysport และ Xeomin

หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว หน้าจะบวมกี่วัน?

หลังฉีดโบท็อกซ์แล้วอาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อยค่ะ ซึ่งจะหายได้เองใน 2 – 3 วัน หรือหากมีรอยเขียวช้ำ ก็จะหายได้เองใน 14 วัน นับว่าเป็นผลข้างเคียงที่สามารถพบได้เป็นปกติ ไม่มีอันตราย

ทั้งนี้ หากทำการฉีดโบท็อกซ์ปลอม ฉีดกับแพทย์ที่ขาดความชำนาญ หรือฉีดในคลินิกฉีดหน้าที่ไม่สะอาดเพียงพอ ก็อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น ฉีดแล้วหน้าแข็งตึง, หนังตาตก, หางคิ้วกระดก, มุมปากตก, ยิ้มได้ไม่สุด หรือปากเบี้ยวเวลายิ้ม รวมถึงฉีดโบท็อกซ์แล้วเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ นอกจากนี้ อาจมีกรณีที่ฉีดแล้วไม่เห็นผลด้วยค่ะ

ข้อควรระวังในคนที่ไม่เคยฉีดโบท็อกซ์มาก่อน คือต้องคอยสังเกตว่าตัวเองมีอาการแพ้โบท็อกซ์หรือไม่ค่ะ เช่น รู้สึกคันบริเวณที่ฉีด มีผื่นขึ้น บวมแดงมาก ๆ เวียนศีรษะ หรือหายใจไม่ออก หากมีอาการเหล่านี้ ให้รีบแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาทันทีนะคะ

คำถามที่พบบ่อย

การฉีดโบท็อกซ์เจ็บไหม?

การฉีดโบท็อกซ์แทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะ เพราะเข็มที่ใช้ฉีดมีขนาดเล็ก และแพทย์ที่ KKC Clinic มือเบามาก ๆ รวมถึงมีการแปะยาชาและประคบเย็นให้คนไข้ด้วย

อายุเท่าไหร่ถึงควรฉีดโบท็อกซ์

คนที่มาฉีดโบท็อกซ์ควรมีอายุ 20 ปีขึ้นไปนะคะ แต่ถ้าคนที่มีอายุ 18 – 19 ปี แล้วอยากฉีดเพื่อแก้ปัญหาหรือปรับเปลี่ยนใบหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถฉีดได้เช่นกันค่ะ แต่ต้องให้ผู้ปกครองพามา

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ ห้ามกินอะไร?

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ และงดกินยา วิตามิน รวมถึงอาหารเสริม ที่ทำให้เลือดไหลไม่หยุด หรือทำให้เลือดแข็งตัวช้าค่ะ

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ ควรงดดื่มแอลกอฮอล์กี่วัน?

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 วันค่ะ

ฉีดโบท็อกซ์แล้วหน้าจะแข็งไหม?

การที่ฉีดโบท็อกซ์แล้วหน้าแข็ง เกิดจากการฉีดในปริมาณมากเกินไป ดังนั้น ถ้าเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ KKC Clinic แพทย์จะกำหนดปริมาณที่ต้องใช้ให้อย่างเหมาะสม ก็จะไม่ทำให้หน้าแข็งค่ะ

หลังฉีดโบท็อกซ์ ห้ามทำอะไรบ้าง?

หลังฉีดแล้วห้ามนอนราบหรือทำให้ใบหน้าอยู่ต่ำกว่าหัวใจค่ะ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนมาที่ใบหน้ามากขึ้น ส่งผลให้โบท็อกซ์กระจายไปยังจุดอื่น ๆ ที่เราไม่ต้องการ สำหรับข้อห้ามอื่น ๆ สามารถดูได้ในหัวข้อ ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ที่ KKC Clinic

หลังฉีดโบท็อกซ์ ออกกำลังกายได้ไหม?

หลังฉีดโบท็อกซ์ควรงดออกกำลังกายประมาณ 4 ชม. แต่หากเป็นการออกกำลังกายหนัก ๆ ก็แนะนำให้งดประมาณ 2 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ 2 วันนะคะ

หลังฉีดโบท็อกซ์ ห้ามนอนราบกี่ชั่วโมง?

หลังฉีดโบท็อกซ์ห้ามนอนราบ 3 – 4 ชม.ค่ะ

ถ้าหยุดฉีดโบท็อกซ์จะเป็นยังไง?

หากเราหยุดฉีด เมื่อโบท็อกซ์ที่เคยมีอยู่สลายไปหมดแล้ว ก็จะทำให้ใบหน้ากลับมาเกิดริ้วรอยตามวัยได้ดังเดิมค่ะ

การฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม?

ไม่อันตรายค่ะ หากฉีดด้วยโบท็อกซ์ของแท้ ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในคลินิกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอย่างที่ KKC Clinic

ฉีดโบท็อกซ์ที่ไหนดี?

แน่นอนว่า สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ของการฉีดโบท็อกซ์ คือการใช้ตัวยาที่เป็นของแท้ เพราะหากฉีดด้วยโบท็อกซ์ปลอม โบท็อกซ์หิ้ว หรือฉีดกับหมอกระเป๋า นอกจากจะไม่เห็นผลแล้ว ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายด้วยค่ะ

ที่ KKC Clinic เราใช้แต่โบท็อกซ์ของแท้ที่ได้รับความนิยมและผ่านการรับรองจากอย. ซึ่งนำเข้ามาอย่างถูกต้อง จึงสามารถมั่นใจได้ในเรื่องของอุณหภูมิการเก็บรักษา ที่จะส่งผลต่อคุณภาพของตัวยาค่ะ โดยเรามี รางวัลจาก Allergan Aesthetics Thailand เป็นตัวการันตียอดการสั่งซื้อที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศด้วยนะคะ

นอกจากนี้ KKC Clinic ยังมีทีมแพทย์ที่เข้าใจในโครงสร้างใบหน้าของคนเอเชียอย่างลึกซึ้ง มีประสบการณ์ในการยกกระชับและปรับรูปหน้ามายาวนาน จึงสามารถเลือกยี่ห้อและปริมาณของโบท็อกซ์ที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ใช้การฉีดด้วยความละเอียดและแม่นยำ รวมถึงสามารถนำเทคนิค Asian MD Codes มาประยุกต์ใช้กับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด สร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้ และได้รับความไว้วางใจจนมีทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเห็นได้จากรีวิวการฉีดโบท็อกซ์ที่เราได้รับ

KKC Clinic เป็นคลินิกที่จัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และผ่านการรับรองมาตรฐาน ทำให้คนไข้สามารถมั่นใจได้ในเรื่องของความสะอาดและความปลอดภัย ดังนั้น หากสนใจจะฉีดโบท็อกซ์ ไม่ว่าจะเป็นตรงจุดไหน หรือเพื่อแก้ปัญหาอะไร ก็สามารถมาเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ของเราได้ที่ KKC Clinic ทุกสาขานะคะ